21 พฤศจิกายน 2561


วันลอยกระทง 2561 (Loy Krathong Festival) 

ลอยกระทง เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆ ที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆ กัน ในปีนี้ วันลอยกระทง ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561
ประเพณีลอยกระทง (Loy Krathong Festival) มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่า ก็มีการลอยกระทงคล้ายๆ กับบ้านเรา จะต่างกันบ้าง ก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทง ก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้รวบรวมมาบอกเล่าให้ทราบกันดังต่อไปนี้

ทำไมถึงลอยกระทง

การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่ง ก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา
ลอยกระทง 2555

 

วัตถุประสงค์ของวันลอยกระทง

นอกจากนี้ ลอยกระทง ก็ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทง เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์ ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย
พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทง อาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้ว จึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำว่า ได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้ว ท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่า การลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษ และขอบคุณต่อแม่คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดี ที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ เพื่อขอบคุณที่บันดาลให้การเพาะปลูกของตนได้ผลดี รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง
ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อน เรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป

 

ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว 

ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอก ของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่า เป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำ ตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลาย ตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศพระสนมเอก ก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษ ที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น ก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน

วันสอยกระทง

ตำนานและความเชื่อวันลอยกระทง 

จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้

เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง

กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวนหุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐาน และบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล
พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาค ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอม และดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำ เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆ มาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทง ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ในเรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน ประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลาย จึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา 3 เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัท พากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์ และนรกด้วยฤทธิ์ของพระองค์ คนจึงพากันลอยกระทง เพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า
สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตามประทีป เพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาด ลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรา มักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย

เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า

พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี” โดยกำหนดทางโหราศาสตร์ว่า เมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท และการรับเสด็จพระพุทธเจ้า ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน 12 หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง 2 เดือน)

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของพม่า

เล่าว่า ครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระประสงค์จะสร้างเจดีย์ให้ครบ 84,000 องค์ แต่ถูกพระยามารคอยขัดขวางเสมอ พระองค์จึงไปขอให้พระอรหันต์องค์หนึ่ง คือ พระอุปคุตช่วยเหลือ พระอุปคุตจึงไปขอร้องพระยานาคเมืองบาดาลให้ช่วย พระยานาครับปาก และปราบพระยามารจนสำเร็จ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงสร้างเจดีย์ได้สำเร็จสมพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 คนทั้งหลายก็จะทำพิธีลอยกระทง เพื่อบูชาคุณพระยานาค เรื่องนี้ บางแห่งก็ว่า พระยานาค ก็คือพระอุปคุตที่อยู่ที่สะดือทะเล และมีอิทธิฤทธิ์มาก จึงปราบมารได้ และพระอุปคุตนี้ เป็นที่นับถือของชาวพม่า และชาวพายัพของไทยมาก

เรื่องที่สี่ เกิดจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณในล้านนาว่า

เกิดอหิวาต์ระบาด ที่อาณาจักรหริภุญชัย ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่ไม่ตายจึงอพยพไปอยู่เมืองสะเทิม และหงสาวดีเป็นเวลา 6 ปี บางคนก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ครั้นเมื่ออหิวาต์ได้สงบลงแล้ว บางส่วนจึงอพยพกลับ และเมื่อถึงวันครบรอบที่ได้อพยพไป ก็ได้จัดธูปเทียนสักการะ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าวใส่ สะเพา ( อ่านว่า “ สะ - เปา หมายถึง สำเภาหรือกระทง ) ล่องตามลำน้ำ เพื่อระลึกถึงญาติที่มีอยู่ในเมืองหงสาวดี ซึ่งการลอยกระทงดังกล่าว จะทำในวันยี่เพง คือ เพ็ญเดือนสิบสอง เรียกกันว่า การลอยโขมด แต่มิได้ทำทั่วไปในล้านนา ส่วนใหญ่เทศกาลยี่เพงนี้ ชาวล้านนาจะมีพิธีตั้งธัมม์หลวง หรือการเทศน์คัมภีร์ขนาดยาวอย่างเทศน์มหาชาติ และมีการจุดประทีปโคมไฟอย่างกว้างขวางมากกว่า (การลอยกระทง ที่ทางโบราณล้านนาเรียกว่า ลอยโขมดนี้ คำว่า “ โขมด อ่านว่า ขะ-โหมด เป็นชื่อผีป่า ชอบออกหากินกลางคืน และมีไฟพะเหนียงเห็นเป็นระยะๆ คล้ายผีกระสือ ดังนั้น จึงเรียกเอาตามลักษณะกระทง ที่จุดเทียนลอยในน้ำ เห็นเงาสะท้อนวับๆ แวมๆ คล้ายผีโขมดว่า ลอยโขมด ดังกล่าว)

เรื่องที่ห้า กล่าวกันว่าในประเทศจีนสมัยก่อน

ทางตอนเหนือ เมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำจะท่วมเสมอ บางปีน้ำท่วมจนชาวบ้านตายนับเป็นแสนๆ และหาศพไม่ได้ก็มี ราษฎรจึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีเหล่านั้นเป็นงานประจำปี ส่วนที่ลอยในตอนกลางคืน ท่านสันนิษฐานว่า อาจจะต้องการความขรึม และขมุกขมัวให้เห็นขลัง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีๆสางๆ และผีก็ไม่ชอบปรากฏตัวในตอนกลางวัน การจุดเทียนก็เพราะหนทางไปเมืองผีมันมืด จึงต้องจุดให้แสงสว่าง เพื่อให้ผีกลับไปสะดวก ในภาษาจีนเรียกการลอยกระทงว่า ปล่อยโคมน้ำ (ปั่งจุ๊ยเต็ง) ซึ่งตรงกับของไทยว่า ลอยโคม จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญู ระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้า หรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชน ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง
ประเพณีลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่า ในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆ แห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำคลองไปด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

15 สิงหาคม 2561

วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 

ประวัติวันแม่แห่งชาติ

แต่เดิมนั้น วันที่ 12 สิงหาคม มิได้เป็น วันแม่แห่งชาติ อย่างเช่นในปัจจุบัน แต่ได้มีการกำหนดเอาวันที่ 15 เมษายนของทุกๆ ปีเป็น วันแม่แห่งชาติ โดยเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้ประกาศรับรองเอาไว้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่เป็นส่วนงานของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง จึงได้มอบหมายให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นผู้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พุทธศักราช 2493 เป็นต้นมา อีกทั้งการจัดงานก็เป็นได้ด้วยความสำเร็จ เนื่องด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างออกไปได้ จึงทำให้การจัดงานไม่เพียงแต่มีการจัดพิธีทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ การประกวดคำขวัญวันแม่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ และเป็นการเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้มีมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปมักเรียกกันว่า วันแม่ของชาติ
ต่อมา ในปีพุทธศักราช 2519 ทางราชการได้เปลี่ยนแปลงวันแม่ใหม่ โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ ซึ่งก็คือวันที่ 12 สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ โดยได้เริ่มประกาศใช้เป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2519 เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พุทธศักราช 2520 มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพระเกียรติไว้ว่า …
“แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้วความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา

แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด


หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของประชาชนชาวไทยทั้งมวล”
อย่างไรก็ตาม การที่ทางราชการได้ประกาศกำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีเป็น วันแม่แห่งชาติ ย่อมก่อให้เกิดวันอันเป็นที่ระลึกที่สำคัญยิ่งของไทยเราวันหนึ่งและกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิ สีขาวบริสุทธิ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา ดังคำประพันธ์บทดอกสร้อย ชื่อ แม่จ๋า ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า …
ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลสดใสหมดระคาย
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย

ความสำคัญของวันแม่

วันแม่แห่งชาติ เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่ทำให้เราต้องหวนกลับมาระลึกถึงพระคุณของ แม่ ผู้ให้กำเนิด แม่ผู้เลี้ยงดู รวมถึงแม่ของแผ่นดิน เพราะแม่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิต คือ บุคลลผู้ให้ชีวิต ผู้คอยคุ้มครอง ผู้มอบความอบอุ่น แม่ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยปกป้องลูกๆ ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนคอยผลักดันให้ลูกเกิดความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
ในประเทศไทย ทางราชการจะมีการจัดงานวันแม่อย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆ ปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะแม่ของแผ่นดิน พร้อมกันนั้นก็ยังมีการจัดงานประกาศเกียรติคุณเพื่อมอบรางวัล แม่ดีเด่น ที่ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก รวมถึงแม่คนอื่นๆ ในแต่ละปีอีกด้วย

ดอกมะลิ

เป็นที่รู้กันว่า “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์ของวันแม่แห่งชาติ เนื่องจากดอกมะลิถือเป็นดอกไม้มงคลของไทย ดั้งเดิมคนไทยนิยมนำดอกมะลิไปบูชาพระในวันพระ และวันสำคัญทางศาสนา เพราะมีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมยาวนานออกดอกได้ตลอดทั้งปี รวมถึงการนำไปผลิตเป็นกลิ่นต่างๆ ที่มีฤทธิ์เป็นยาหอมอย่างดีของไทยเรา
flower-800565_1920
ดอกมะลิเปรียบถึงความรักอันบริสุทธิ์ ที่แม่มีต่อลูก และมีอย่างยาวนานตลอดไป เสมือนสีและกลิ่นของดอกมะลิที่ขาวตลอดเวลาและหอมอบอวนตลอดทั้งวันทั้งคืน ในประเพณีไทยการไหว้มารดาจึงนิยมใช้ดอกมะลิเป็นดอกไม้หลัก และในบางแห่งได้มีการนำดอกมะลิทำเป็นเข็มกลัด ติดที่ปกเสื้อหรืออกเสื้อ เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่แห่งชาติ

กิจกรรมในวันแม่

  1. นำพวงมาลัย ไปกราบแม่ ขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
  2. ทำบุญตักบาตร และทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์
  3. ร่วมงาน/จัดกิจกรรมต่างๆ จัดนิทรรศการ การประกวด เพื่อรำลึกถึงพระคุณแม่
  4. ประดับไฟตามบ้านเรือน ประดับธงชาติ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ
  5. ร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพร ที่สถานที่สำคัญของส่วนราชการในคืนวันที่ 12 สิงหาคม
maxresdefault

พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรประสูติเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2499 นับแต่นั้นมาพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายที่สำคัญ โดยได้เสด็จพระราชดำเนินติดตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปยังทุกพื้นที่ของประเทศไทย
โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่ได้ขยายเป็นวงกว้างไปยังทุกพื้นที่ในประเทศไทย คือ “โครงการศูนย์ศิลปาชีพในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับคนไทย พร้อมทั้งเป็นการอนุรักษ์งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยให้คงอยู่กับสืบไป นอกจากนั้นยังทรงดำรงตำแหน่ง “สภานายิกาสภากาชาดไทย” ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะกุศลที่ก่อตั้งขึ้น โดยมีภารกิจในการช่วยเหลือผู้ป่วย โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนา

บอกรักแม่ด้วย 10 วิธีแนะนำ

คนเราเกิดมามีแม่ได้เพียงคนเดียว ควรรักท่านให้มากๆ การบอกรักแม่ในวันแม่แห่งชาติเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อให้ลูกๆ เกิดความสำนึกในบุญคุณของแม่ที่มีต่อลูก แต่ถึงอย่างไรแล้วการบอกรักแม่ ไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะวันแม่ แต่สามารถทำได้ในทุกๆ วันด้วย 10 วิธีบอกรักแม่ให้ชื่นใจที่ Sanook! Event นำเสนอต่อไปนี้
  1. ตอนกลับบ้านไปหาเเม่ กอดแม่ซะ อย่างน้อยการกอดก็ทำให้เรา และคนที่ถูกเรากอดอบอุ่น และเเม่รับรู้ได้ว่าเรารักแม่มากแค่ไหน และเมื่อจะกลับ อย่าขอเงินจากแม่เด็ดขาด ถ้าเเม่ถามว่าขาดเหลืออะไรไหม ให้บอกไปว่าเรามี แม่ก็มีทุกอย่างไม่ขาดอะไรแล้ว
  2. เวลาที่อยู่กับแม่ เเม้ว่าทุกวันเราจะทะเลาะกับเเม่บ่อยๆ วันเเม่ปีนี้ ห้เลี่ยงสักวัน แม้ว่ามันเป็นกิจวัตรก็ตาม
  3. เวลาจะนอน คืนนั้นขอนอนกับเเม่สักคืน ถ้าเขินก็บอกเเม่ว่าบังเอิญเกิดกลัวการนอนคนเดียวขึ้นมา
  4. กินกับข้าวฝีมือเเม่ และบอกแม่ว่ากับข้าววันนี้อร่อยจัง
  5. หอมแก้มเเม่เราสักฟอด มันอาจเป็นเรื่องที่เราเคอะเขิน เเต่มันไม่ทุกวันที่เราจะหาโอกาสทำได้
  6. แกล้งส่งข้อความให้เเม่ ทั้งที่เราอยู่ข้างๆ แม่นั่นแหละ
  7. พยายามช่วยทำกิจกรรมของครอบครัว ที่แม่ต้องทำให้มากๆ เช่น เข้าครัว หรือทำงานบ้าน
  8. ในกรณีที่กลับบ้านไม่ได้ เพราะความห่างไกลในความเจริญ โทรหาเเม่ซะ และโทรคุยนานกว่าปกติ ไม่คุยเรื่องเงิน เรื่องเรียน เรื่องเครียด ยังไงซะคุยกับแฟนไว้ตอนโปรโมชั่นโบนัสก็ได้ และไม่ต้องเสียดายเงินน่ะ คุยกับเเม่เราเอง
  9. ในวันคล้ายวันเกิดของเรา โทรขอบคุณเเม่สักคำก็ยังดี หรือให้ดีกว่านี้โทรคุยกับเเม่นานๆ
  10. บอกรักแม่ เเละแสดงความรักได้ทุกรูปแบบที่เราถนัด ที่สำคัญจำไว้ว่าเรามีเเม่ทุกวัน ไม่ใช่มีเเค่วันเเม่วันเดียวเท่านั้น ที่เรามีเเม่ เพียงเเต่ในวันนี้เราสามารถทำให้เเม่ในสิ่งที่ไม่เคยทำได้

กลอนวันแม่

รวบรวม 5 บทกลอนวันแม่ จากหลายๆ ท่านและจากสมาชิก Sanook! ที่มีความไพเราะ และอบอุ่นแสดงถึงความรักที่แม่มีต่อลูกได้อย่างลึกซึ้ง เป็นกลอนสั้น ความหมายดีๆ
กลอนวันแม่: ของขวัญจากลูก
(สัจจาภรณ์ ไวจรรยา)
มะลิหอมน้อมวางข้างข้างตัก    กรุ่นกลิ่น “รัก” บริสุทธิ์ผุดผ่องใส
แทนทุกคำทุกถ้อยร้อยจากใจ    เป็นมาลัย “กราบแม่” พร้อมน้อมบูชา
กี่พระคุณจากใครอื่นนับหมื่นแสน    อาจทนแทนเปรยเปรียบเทียบคุณค่า
แต่พระคุณ “หนึ่งหยดน้ำนมมารดา”    ทั้งสามภพจบหล้า…หาเทียมทัน
ลูกไม่อาจเอ่ยแสดงแถลงถ้อย    หรือเรียงร้อยพจนามาเสกสรรค์
เพื่อบรรยายพระคุณนี้ที่ “อนันต์”    จึงตั้งมั่น “กตัญญุตา” ตลอดไป
หนึ่งคำ “รัก” ลูกรักแม่ แม้ค่าน้อย    ต่างเพชรพลอย ตีราคาค่ามิได้
แต่แม่จ๋า… “รักที่หนึ่ง” ของหัวใจ    มิใช่ใคร “ลูก รัก แม่” แน่นิรันดร์
———–
กลอนวันแม่: กลอนความรักของแม่(kokochun สมาชิกสนุก!)
รัก คำไหนยิ่งใหญ่กว่ารักแม่
รัก จริงแท้จะหาไหนไม่มีเหมือน
รัก ของแม่จริงใจไม่บิดเบือน
รัก ของแม่คอยเตือนให้ลูกดี
แม่ คำนี้มีค่าเกินกว่าพูด
แม่ เปรียบฑูตเชื่อมความรักเชื่อมศักดิ์ศรี
แม่ อบรมบ่มนิสัยให้ลูกดี
แม่ คำนี้ลูกรักจะตอบแทน
———–
กลอนวันแม่: คุณแม่ที่แสนดี(Ooaaeynanajung สมาชิกสนุก!)
คำว่ารักที่ประจักษ์คือรักแม่    รักแน่แท้ไม่มีแปรและเปลี่ยนผัน
คอยเลี้ยงลูกคอยดูแลอยู่ทุกวัน    แต่ลูกนั้นก็ยังทำแม่เสียใจ
แม่ส่งเรียนด้วยความเพียรหวังเรียนจบ    กลับไปหลบอยู่ที่ไหนใครไม่เห็น
ถึงตอนเช้าไม่เข้าเรียนจนถึงเย็น    สุดลำเค็ญน้ำตาแม่คอยแลทาง
ถึงวันนี้ลูกคนนี้ขอไถ่โทษ    แม่ไม่โกรธแม่ไม่ว่าน้ำตาไหล
ลูกที่เลวขอทำดีให้ภูมิใจ    แต่สุดท้ายลูกคนนี้รักแม่เอย
———–
กลอนวันแม่: ถ้าไม่ใช่ “แม่” นั้นไซร้จะเป็นใคร(Fo2eVe2 สมาชิกสนุก!)
ใครหนอใครกันที่ทำให้เราเกิดมา    ใครกันหนาที่เลี้ยงเรามาจนถึงเพียงนี้
ใครหนอใครกันที่ยอมเราเสียทุกที    ทั้งเตือนทั้งตีจนเราเป็นคนได้เพราะใครกัน
ใครหนอใครกันทุ่มเททำงานอาบเหงื่อ    ไม่เคยท้อไม่เคยเบื่อไม่อะไรทั้งนั้น
ใครหนอใครกันที่จะทนบากบั่น    ถ้าไม่ใช่ “แม่” นั้นไซร้จะเป็นใคร
แม่เลี้ยงเรารักเราไม่เคยทิ้ง    รักปานบูชาขึ้นหิ้งรักเพียงไหน
รักยิ่งใหญ่รักมากกว่าสิ่งอื่นใด    รักปานดวงใจมีให้ลูกตลอดมา
ในอกทรวงลูกนั้นยังมีแม่    จะดูแลยามแม่ต้องการหา
จะทุ่มเทแรงกายทั้งกายา    แทนคุณค่าที่แม่ให้ลูกเอย
———–
กลอนวันแม่: แม่(engineer1987 สมาชิกสนุก!)
‘แม่’ คำแรกลูกเพียรหัดออกเสียง    กล่าวถ้อยเพียงวาจาซื่อแสนใส
น้อยคนนักจักคิดทวนความหมายใน    คำเปรี่ยมใจเมตตาเอื้ออาทร
คือผู้ให้ไม่มีที่สิ้นสุด    เปรียบประดุจสายธารแลสิงขร
หล่อเลี้ยงจิตปกป้องภัยไม่แคลนคลอน    คอยพร่ำสอนต้นกล้าน้อยให้เติบโต
บทกลอนวันแม่ทั้งหมด: http://campus.sanook.com/925148/

เพลงเรียงความเรื่องแม่

ขับร้อง: กลุ่มนักเรียนสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ กลุ่มนักเรียนสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
คำร้อง: สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา
ทำนอง: วุฒิชัย สมบัติจินดา
เรียบเรียง: อนุชา อรรจนาวัฒน์
เนื้อเพลงเรียงความเรื่องแม่
คุณครูสั่งให้เขียน เรียงความเรื่องแม่ฉัน บอกให้ส่งให้ทันวันพรุ่งนี้
มันยากจัง ทำไม่ไหว หนูแม่ไม่มี แล้วจะเขียนให้ดียังไง
* เป็นห่วง ก็ไม่รู้ ดูแล ก็ไม่คุ้น กอดแม่อุ่นจริงจริง มันจริงไหม
พร้อมหน้ากัน ทานอาหาร เคยมีแค่ฝันไป ไม่มีเพลงกล่อมใด ไม่มี
** ห่มผ้าไม่เคยอุ่นเลย กอดหมอนไม่เคยอุ่นใจ นอนหลับไปอย่างเดียวดายทุกที
ไม่มีอะไรจะเขียน ให้ครูได้อ่านพรุ่งนี้ บนหน้ากระดาษก็เลอะน้ำตา
*** ถ้าแม่ฟังอยู่ ไม่ว่าแม่อยู่ไหน ไม่ว่าแม่เป็นใคร ช่วยส่งรักกลับมา
ถ้าแม่ฟังอยู่ คิดถึงหนูหน่อยนะ หนูขอสัญญาว่า หนูจะเป็นเด็กดี
(ซ้ำ *, **, ***)
หมู่ *** จนจบ

มิวสิควีดีโอ เรียงความเรื่องแม่

แบบการ์ดวันแม่

การ์ดวันแม่ทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ทำเสร็จ ด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว กับความรักแบบเต็ม 100% เพียงแค่นี้ก็ทำการ์ดสวยๆมอบให้แม่เนื่องในวันแม่แห่งชาติได้แล้ว วันนี้ Sanook! จึงอยากนำเสนอการทำการ์ดอวยพรต่างๆ แบบง่ายๆ สำหรับมอบให้กับคุณแม่
1. วาดการ์ดวันแม่ด้วยปากกาและดินสอง่ายๆ
เรียนรู้วิธีการวาดรูปการ์ดวันแม่ง่ายๆ การวาดหัวใจ และดอกไม้ลงบนการ์ดด้วยตนเอง และที่สำคัญเป็นการใช้สีเพียงแค่ 2 สีเท่านั้นคือสีชมพูและสีเหลือง ง่ายใช่ไหมหละ
2. Origami เป็นเทคนิคการพับกระดาษสำหรับทำการ์ด
เรียนรู้และทำตามได้ทันที กับวิธีพับกระดาษเป็นการ์ดวันแม่ให้สวยงาม ตามแบบฉบับญี่ปุ่น ถึงแม้จะมีการพับที่ซับซ้อน แต่ก็สามารถทำตามได้อย่างไม่ยากเลย เพราะคลิปนี้สอนละเอียดมาก
3. การพับการ์ดวันแม่แบบ 3D ด้วยดอกไม้
การพับกระดาษเป็นการ์ดวันแม่ ที่อลังการ แต่ง่ายมากๆ ด้วยการทำดอกไม้หลายแฉกด้วยกระดาษธรรมดา ลงสีง่ายๆด้วยดินสอสี DIY เพื่อเวลาเปิดการ์ดออกมาเป็นเหมือนดอกไม้บานออก สามารถนำไปประยุกต์ ใส่สีสันให้กลายเป็นดอกมะลิได้เลย
4. ทำการ์ดวันแม่ให้มีลูกเล่น ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน
การทำการ์ดวันแม่แบบธรรมดา แล้วเขียนข้อความแทนใจลงไปอย่างเดียวคงจะสร้างความประทับได้ไม่มากนัก เมื่อวันแม่ในปีนี้มาถึงทั้งทีก็ต้องหาลูกเล่นแปลกๆ มาใส่ในการ์ดวันแม่ของเราให้ดูน่าสนใจสักหน่อย อาจไม่ต้องออกแบบอะไรให้ซับซ้อนมาก โดยอาจะเปลี่ยนจากคำภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษดู แล้วทำลูกเล่นในคำให้มีลักษณะไล่เปิดเหมือนน้ำตกที่กำลังไหลลงจากผาสูง เป็นจินตาการเรียบง่าย ทำได้ไม่ได้ยาก เท่านี้การ์ดวันแม่ของเราก็จะน่าจดจำไปตลอดทั้งปีแล้ว
5. ทำการ์ดวันแม่ดอกมะลิป๊อบอัพ เปลี่ยนการ์ดวันแม่ธรรมดาๆ ให้น่าจดจำ
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยเห็นการ์ดวันแม่ในลักษณะของป๊อบอัพกันมาบ้างแล้ว แต่รูปแบบที่เอามาฝากให้ไปลองทำกันนี้ เป็นการ์ดวันแม่ป๊อบอัพกึ่งๆ 3 มิติ แถมยังเป็นรูปดอกมะลิ สัญลักษณ์สำคัญประจำวันแม่อีกด้วย ส่วนอุปกรณ์สำหรับทำการ์ดวันแม่ก็หาได้ไม่ยาก ไม่ได้เน้นวัตถุดิบที่ดี แต่ขอให้ทำออกมามีความสวยงาม สามารถสื่อความหมายถึงวันแม่ได้อย่างลงตัว ยังไงก็ลองเอาการ์ดวันแม่รูปแบบนี้ไปลองทำกัน
ยังมีการ์ดวันแม่แบบอื่นๆ อีกที่นี่: http://campus.sanook.com/1372825/
ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันแม่ แต่เรายังสามารถแสดงความรักและความห่วงใยต่อท่านได้ในทุกๆ วัน สิ่งเดียวที่แม่เป็นห่วง คือ เรื่องสุขภาพของลูก ท่านอยากเห็นเรามีความสุขในทุกๆ ด้าน การแสดงความกตัญญูที่ดีที่สุด คือ การหันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น อาจจะหาเวลาพักผ่อนด้วยการพาท่านไปเที่ยวบ้าง อยู่กับครอบครัวบ้าง หรือได้พูดคุยเรื่องราวต่างๆ บ้าง นั่นก็ถือว่าเป็นความสุขเล็กๆ น้อยที่ทำได้ทุกวันแล้ว

3 กรกฎาคม 2561

วันคล้ายวันประสูติ  
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี

วันที่ 4 กรกฎาคม ของทุกปี 


             ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชธิดาพระองค์เล็กใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในพระราชวังดุสิตสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีพระธิดา ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
               ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นเจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลกในสาขาสารเคมีก่อมะเร็ง และพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม ทรงก่อตั้งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ปัจจุบันทรงเป็นองค์ประธานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการเคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และห้องปฏิบัติการสารเคมีก่อมะเร็ง และศาสตราจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

การศึกษา

    * ทรงพระอักษรเบื้องต้นในระดับชั้นเตรียมประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา จากโรงเรียนจิตรลดา
    * ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ ๑ วิชาเอกเคมี จากคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    * ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาเคมีอินทรีย์ จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ วิทยานิพนธ์เรื่อง "Part I: Constituents of Boesenbergia pandurata (yellow rhizome) (Zingiberaceae). Part II: Additions of lithio chloromethyl phenyl sulfoxide to aldimines and alpha,beta-unsaturated compounds"
    * ทรงศึกษาต่อระดับหลังปริญญาเอก (Post Doctoral) ณ มหาวิทยาลัยอูล์ม ประเทศเยอรมัน และยังทรงศึกษาด้านพิษวิทยาระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย
    * ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (หลักสูตรแบบไม่มีหน่วยกิตรายวิชา)ในปีการศึกษา ๒๕๔๙ จากผลงานวิจัยเรื่อง "Molecular Genetic Studies and Preliminary Culture Experiments of Scallops Bivalve: Pectinidae) in Thailand"
    * สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนจิตรลดา เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนจิตรลดาทรงเลือกศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทรงได้รับรางวัลเรียนดีตลอดระยะเวลา ๔ ปีการศึกษา และทรงสำเร็จปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตวิชาเอกเคมีเกียรตินิยมอันดับ ๑ ทรงได้รับทุนการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ สาขาอินทรีย์เคมีด้วย

เนื่องจากทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยคะแนนยอดเยี่ยม เมื่อทรงมีพระดำริถึงการศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดลจึง อนุมัติให้ทรงเข้าศึกษาในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิตได้โดยไม่ต้องผ่านมหาบัณฑิต ก่อน ทรงศึกษาด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ใฝ่พระทัยในการศึกษาเล่าเรียนเป็นที่ยิ่ง ทั้งที่มีพระราชกิจในฐานะสมเด็จพระเจ้าลูกเธอก็ ยังเสด็จพระดำเนินไปทรงพระอักษรร่วมกับพระสหายในชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนทรงงานในห้องแล็บด้วยพระองค์เองอย่างไม่ทรงท้อถอย แม้จะทรงแพ้สารเคมีก็ตาม

           ต่อมาสภามหาวิทยาลัยมหิดลได้อนุมัติให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงสำเร็จการศึกษา และได้รับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเคมีอินทรีย์ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

            ด้วยความสนพระทัยในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์จึงได้ทรงเข้าศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิชาต่างๆ ที่สนพระทัย อาทิ การเข้าอบรมระดับหลังปริญญาเอก(Post Doctoral Training) เรื่อง Synthesis of Oligonucleotides Using Polymer Support and Their Applications in Genetic Engineering จากมหาวิทยาลัยอูล์ม ประเทศเยอรมัน ศึกษาด้านพิษวิทยา ระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ศึกษาด้านการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์




พระราชวงศ์ไทย

    * พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    * สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
          o ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
                คุณพลอยไพลิน เจนเซน
                คุณพุ่ม เจนเซน
                คุณสิริกิติยา เจนเซน
          o สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
            พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ
                พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
                พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
                พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
          o สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
          o สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
                พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์
                พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
    * สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
    * พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
    * พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร
    * ทัศนาวลัย ศรสงคราม

เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์

          สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีพระปรีชาสามารถ ทรงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง สภาพความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และทรงเป็นผู้ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างดียิ่ง องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสห ประชาชาติ หรือ UNESCO จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองคำอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เหรียญเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์ที่เป็นบุคคลตัวอย่างทางวิชาการ และการส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นบุคคลที่ ๓ ของโลกและเป็นนักวิทยาศาสตร์สตรีพระองค์แรกที่ได้รับรางวัลนี้ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ด้วยทรงตระหนักถึงปัญหาความขาดแคลนบุคคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุข และความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ เรื่องการ ขาดแคลนบุคคลากรด้านการแพทย์ และการสาธารณสุขโดยเฉพาะ ความต้องการการสนับสนุนเรื่องการศึกษาวิจัยทางวิชาการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และการสาธารณสุข จึงทรงก่อตั้งกองทุนจุฬาภรณ์ขึ้น และต่อมาได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิจุฬาภรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชนชาวไทย


              ต่อมาทรงก่อตั้งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ขึ้น เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ทรงเป็นองค์ประธานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือ ส่งเสริมความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัย ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และสังคมศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและพัฒนาบุคลากรสาขาวิทยาศาสตร์ การแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นแหล่งระดมสติปัญญาของนักวิชาการที่มีศักยภาพและวิทยาการที่ก้าว หน้า เพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนตลอดไป

           ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง และให้การศึกษาและฝึกอบรมอย่างครบวงจร ประกอบกับแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ให้ขยายภารกิจด้านการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสาขาที่มีความต้องการสูงให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จึงได้มีการเสนอโครงการจัดตั้งสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๘

          และจากการที่ทรงรับเป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติ การเคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และห้องปฏิบัติการสารเคมีก่อมะเร็งด้วยพระองค์เอง ประกอบกับทรงพบว่าประชาชนชาวไทยเป็นโรคมะเร็งเพิ่ม ในอัตราที่สูงมากขึ้น จึงทรงก่อตั้งศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็งขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิต ที่ดี ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม และให้เป็นศูนย์วิจัยด้านโรคมะเร็งที่มีความเป็นเลิศทางการวิจัย วิชาการ และการบำบัดรักษา พร้อมทั้งพัฒนาเป็นศูนย์ชำนาญการวินิจฉัยมะเร็งที่ก้าวหน้าและทันสมัยที่สุด ในภูมิภาค โดยมีงานวิจัยที่ได้มาตรฐานสากลรองรับ

           นอกจากนี้ ยังทรงจัดตั้งศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ(Cyclotron and PET Scan) ซึ่งเป็นหน่วยงานให้บริการในการตรวจโดยสารเภสัชรังสี เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่สามารถติดตาม ตรวจวัด ประเมิน และวิเคราะห์ การทำหน้าที่ของอวัยวะนั้นๆ ในระดับเซลล์เมตาบอลิสม์ ที่สามารถให้รายละเอียดการวินิจฉัยโรคและระยะของโรคได้ดีกว่าการตรวจอย่าง อื่น ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โรคทางสมอง และหัวใจ

            สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ทรงเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีพระปณิธานแน่วแน่ในการสร้างเสริมความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อมให้แก่ทรัพยากรบุคคลของประเทศไทย และให้ความช่วยเหลือ ฝึกอบรมแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนา โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ

            จากผลของการทรงงานอย่างต่อเนื่อง จึงทรงเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องในแวดวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติ คณะกรรมการรางวัลฮอลแลนเดอร์ จึงมีมติเอกฉันท์ให้ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลกในสาขาสารเคมีก่อมะเร็งและพิษ วิทยาสิ่งแวดล้อม และทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับรางวัล EMS Hollaender International Award ประจำ ปี ค.ศ. 2002 และในปีพ.ศ. ๒๕๔๗ สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก (IUCN The World Conservation Union) สวิตเซอร์แลนด์ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก อีกด้วย

           นอกจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จะทรงได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ แล้ว พระองค์ยังทรงนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนา ประเทศได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นกิจการด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย งานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การจัดการป่าไม้ การจัดการสิ่งแวดล้อม การเพาะเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลรวมไปถึงงานส่งเสริมสถานภาพทางสังคมของสตรีไทย อีกด้วย

          การเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ทรงมีภารกิจมากกว่าคนสามัญทั่วไป แต่พระองค์ก็ทรงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่างๆให้สำเร็จด้วยดี และที่สำคัญงานทั้งหมดของพระองค์ล้วนเป็นผลจากความมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์สูง สุดต่อมวลมนุษยชาติ ความรัก ความยกย่อง และความศรัทธาที่พสกนิกรมีต่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จึงเกิดขึ้นด้วยพระกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์ด้วย พระเมตตาธรรมและพระจริยาวัตร อันงดงามของพระองค์โดยแท้

รางวัลพระเกียรติคุณ

    * องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองคำอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (UNESCO's gold Einstein medal) เหรียญเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์ที่เป็นบุคคลตัวอย่างทางวิชาการและการส่ง เสริมงานด้านวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ทรงเป็นบุคคลที่ ๓ ของโลก และเป็นนักวิทยาศาสตร์สตรีพระองค์แรกที่ได้รับรางวัลนี้
    * สมาคม Environmental Mutagen Society (EMS) แห่งสหรัฐอเมริกา ทูลเกล้ารางวัล EMS Alexander Hollaender International Fellow Award ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่นของโลก ในสาขาสารเคมีก่อให้เกิดโรคมะเร็ง พิษวิทยาสิ่งแวดล้อม และเคมีด้านผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ตลอดจนการอุทิศพระองค์กับงานวิจัยและวิชาการ ก่อให้เกิดการส่งเสริมและการเผยแพร่ความรู้ในระดับภูมิภาคและในระดับนานา ชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
    * Tree of Learning Award ในฐานะที่ทรงมีผลงานการฝึกอบรมบุคลากรทางด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก
    * รางวัลเกียรติยศเหรียญทองเชิดชูเกียรติ CISAC Gold Medal Award ในฐานะทรงสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่มวลชนทั้งในและ ต่างประเทศ อาทิ การแสดงคอนเสิร์ตเพื่อการกุศล และการแสดงดนตรีและวัฒนธรรมสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    * ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก (IUCN The World Conservation Union) สวิตเซอร์แลนด์ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก
    * ทรงรับการทูลเกล้าถวายรางวัล IFCS Special Recognition Award ณ กรุงบูดาเปสต์ สาธารณรัฐฮังการี จาก Intergovernmental Forum on Chemical Safety (IFCS) ในพิธีเปิดการประชุมสมัยที่ ๕ ของเวทีการประชุมระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความปลอดภัยของสารเคมี เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นรางวัลสำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานดีเด่น ด้านการสนับสนุนให้เกิดความปลอดภัยของสารเคมีแก่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศ ในภูมิภาค
    * ทรงเป็นชาวเอเชียพระองค์แรก ที่ได้รับเชิญให้เป็น Honorary Fellow ของ The Royal Society of Chemistry ประเทศอังกฤษ
    * รางวัล Nagoya Medal Special Award เป็นรางวัลที่มอบให้บุคคลทางด้านวิทยาศาสตร์ผู้มีบทบาทสำคัญและทำคุณ ประโยชน์อย่างสูงแก่วงการอินทรีย์เคมี ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลดังกล่าว ในการประชุม 1st International Conference of Cutting-Edge Organic Chemistry in Asia จากมหาวิทยาลัย Nagoya ณ เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๔๙
    * รางวัลเหรียญทอง Albert Hofmann Centennial Gold Medal Award เป็นรางวัลสำหรับผู้มีผลงานวิจัยดีเด่นด้านเคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนี้เป็นพระองค์แรกของโลก เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๐ ณ สถาบันอินทรีย์เคมี มหาวิทยาลัยซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะที่ทรงมีพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และทรงอุทิศพระองค์ให้แก่วงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยด้านอินทรีย์เคมี




สถานที่ และพันธุ์สัตว์อันเนื่องด้วยพระนาม

สถานที่
    * อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
    * เขื่อนจุฬาภรณ์ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ

การแพทย์ และการสาธารณสุข
    * สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

สถาบันการศึกษา
    * มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
    * โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ๑๒ โรงทั่วประเทศ เป็นโรงเรียนจัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๓๖ พรรษา เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ตรัง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ลพบุรี อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
          o โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

พันธุ์สัตว์
    * ปูทูลกระหม่อม (Thaipotamon chulabhorn Naiyanetr, 1993)
    * ปลาซิวเจ้าฟ้า (Amblypharyngodon chulabhornae Vidthayanon & Kottelat, 1990)

ที่มา : http://www.kaweeclub.com/b6/4-2612/ และวิกิพีเดีย
ภาพประกอบ : www.thairath.co.th     www. rtmahidol.com  www.thaufilm.com     www.tlcthai.com